Skip to content
Home » AI ป้องกันภัย หรือเป็นภัยเสียเอง?

AI ป้องกันภัย หรือเป็นภัยเสียเอง?

  • by

AI มีบทบาทเป็นทั้ง “ผู้ป้องกันภัย” และ “ผู้สร้างภัย” ในเวลาเดียวกัน โดยขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ใช้งานและบริบทการนำไปใช้ครับ

ในโลกของเราเลยถือกำเนิด AI Cybersecurity ขึ้นมานั่นเอง ซึ่งเป็น AI ที่ทำหน้าที่เหมือนตำรวจในโลกออนไลน์ เพื่อป้องกัน AI วายร้ายเข้ามาเจาะระบบครับ

ด้านที่ 1: AI เป็น "ผู้ป้องกันภัย"

AI มีความสามารถเหนือมนุษย์ในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล และเรียนรู้รูปแบบที่ซับซ้อน ทำให้มันเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการรักษาความปลอดภัยและการป้องกัน:

การรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity)

  • ตรวจจับภัยคุกคาม: AI ใช้การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของเครือข่ายและผู้ใช้เพื่อ ระบุความผิดปกติ (Anomaly Detection) เช่น การโจมตีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน (Zero-Day Attacks) หรือมัลแวร์ที่ถูกเข้ารหัส ซึ่งเร็วกว่าการตรวจจับแบบดั้งเดิม
  • ป้องกันฟิชชิง: AI สามารถวิเคราะห์อีเมลหรือข้อความเพื่อหาสำนวน ภาษา และรูปแบบที่บ่งชี้ว่าเป็นความพยายามฟิชชิง (Phishing) ที่ซับซ้อน
  • ป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต: ใช้ AI ในการตรวจสอบและยืนยันตัวตนของผู้ใช้ (เช่น ระบบจดจำใบหน้า, การวิเคราะห์พฤติกรรมการพิมพ์)

การแพทย์และสาธารณสุข

  • วินิจฉัยโรค: AI ช่วยวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ (เช่น MRI, CT Scan) หรือข้อมูลทางพันธุกรรม เพื่อช่วยแพทย์ในการ วินิจฉัยโรคได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น
  • การค้นพบยา: เร่งกระบวนการค้นพบและพัฒนายาใหม่ ๆ ได้อย่างมาก

ความปลอดภัยสาธารณะ

  • การคาดการณ์อาชญากรรม: ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุพื้นที่เสี่ยง หรือรูปแบบที่อาจนำไปสู่การเกิดอาชญากรรม (แม้จะมีข้อถกเถียงด้านจริยธรรม)
  • ระบบเตือนภัยพิบัติ: วิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมเพื่อพยากรณ์และแจ้งเตือนภัยธรรมชาติล่วงหน้า

ด้านที่ 2: AI เป็น "ภัยเสียเอง"

เมื่อเทคโนโลยี AI ตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่ประสงค์ดี หรือเมื่อตัว AI เองมีความผิดพลาด ก็จะกลายเป็นภัยคุกคามที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง:

ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-Powered Cyber Attacks)

  • การโจมตีที่ซับซ้อน: อาชญากรใช้ AI เพื่อ สร้างมัลแวร์ที่หลบหลีกการตรวจจับ (Evasive Malware) และ ระบุช่องโหว่ ของระบบเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ
  • Deepfake และการหลอกลวง: AI สร้างวิดีโอ เสียง หรือภาพที่ดูสมจริงจนแยกไม่ออก (Deepfake) เพื่อใช้ในการ หลอกลวง ทางการเงิน, การเมือง, หรือวิศวกรรมสังคม (Social Engineering) เช่น การเลียนเสียงผู้บริหารเพื่อสั่งโอนเงิน

ภัยคุกคามต่อข้อมูลและความเป็นส่วนตัว

  • การเฝ้าจับตาและการควบคุม: ระบบ AI ที่ใช้ในการจดจำใบหน้าและการวิเคราะห์พฤติกรรม หากถูกนำไปใช้โดยรัฐบาลหรือองค์กรอย่างขาดจริยธรรม อาจนำไปสู่การ คุกคามความเป็นส่วนตัว และการจำกัดสิทธิเสรีภาพ

ภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจและสังคม

  • การว่างงาน: การเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์ในหลายสาขาอาชีพ นำไปสู่ความกังวลเรื่องการว่างงานในวงกว้าง
  • การตัดสินใจที่ผิดพลาด: หาก AI ถูกฝึกฝนด้วยข้อมูลที่มีความเอนเอียง (Bias) การตัดสินใจของมัน (เช่น ในการปล่อยสินเชื่อ, การคัดเลือกงาน, หรือการตัดสินโทษ) ก็จะมีความเอนเอียงตามไปด้วย ทำให้เกิดความ ไม่ยุติธรรมทางสังคม

สรุป

ประเด็นสำคัญ

คำอธิบาย

การแข่งขันของ AI

การต่อสู้ทางไซเบอร์ในปัจจุบันเป็นการแข่งขันระหว่าง AI ของผู้ป้องกัน (Defenders) กับ AI ของผู้โจมตี (Attackers)

ความรับผิดชอบของมนุษย์

เทคโนโลยีเป็นกลาง แต่มนุษย์คือผู้ให้เจตนา ดังนั้น การสร้าง กฎหมายและจริยธรรม AI จึงสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ AI กลายเป็นอาวุธร้าย

ความรู้เท่าทัน

ผู้ใช้ทุกคนต้องมีความรู้เท่าทันภัยคุกคามที่เกิดจาก AI (เช่น Deepfake, อีเมลฟิชชิงที่แนบเนียนขึ้น) เพื่อเป็น “วัคซีน” ป้องกันตัวเอง

 

ถ้าคนที่รู้ไม่เท่าทันอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่มี AI อยู่ในรถแล้วเจอกับแฮกเกอร์ที่สามารถเจาะเข้าแล้วบังคับรถได้จนพาผู้โดยสารไปพบเจอกับอุบัติเหตุ หรือ อะไรที่เลวร้ายกว่านั้นได้ครับ ซึ่งไม่รู้เลยว่าใครจะเป็นคนถูกหวยไวเจอเหตุการณ์แบบนี้ในอนาคต